
จอภาพบันทึกรายการสั่งซื้อ เพิ่มปุ่ม รับข้อมูลจาก Excel เพื่อการ Import ข้อมูลการสั่งซื้อจาก Excel เข้าสู่ระบบ มีวิธีการดังนี้
1. เตรียมไฟล์ Excel ดังรูป โดยมีข้อกำหนดดังนี้
1.1 ไฟล์ .xls หรือ .xlsx ก็ได้
1.2 มีคอลัมน์ครบตามรูป โดยคอลัมน์ B-E ให้มี Format ตัวเลข
1.3 จำนวนห้ามเป็น 0
1.4 รหัสสินค้าสามารถกำหนดเป็นรหัส Barcode ได้
2. ที่จอภาพบันทึกรายการสั่งซื้อ
2.1 ทำการกำหนดเลขที่ใบสั่งซื้อ
2.2 จากนั้นกดปุ่ม รับข้อมูลจาก Excel
2.3 ระบุไฟล์ที่ต้องการรับข้อมูล กรณีกำหนดรหัสสินค้าเป็น Barcode ให้คลิกเลือก เพิ่มการตรวจสอบรหัส Barcode
2.4 กดปุ่ม ประมวลผล
3. การประมวลผลรับเข้า โปรแกรมสร้างรายการและมีการตรวจสอบดังนี้
3.1 มูลค่าเป็นตามสกุลเงินของใบสั่งซื้อ
3.2 หน่วยนับเป็นไปตามหน่วยคลัง
3.2 มีการตรวจสอบว่ารหัสสินค้ามีในระบบหรือไม่, จำนวนเป็น 0 หรือไม่ หากพบว่าผิดพลาดรายการใดรายการหนึ่ง โปรแกรมจะไม่ Import ทั้งหมด พร้อมแจ้งปัญหาไว้ที่ไฟล์ Excel ผู้ใช้สามารถเข้าไปตรวจสอบปัญหาได้
รายการ | ระบบงาน | รายละเอียด |
---|---|---|
1 | ควบคุมการผลิต | จอภาพผ่านรายการเบิกวัตถุดิบ แก้ไขกรณีที่กำหนด Lot หรือ Expired Date ไม่ตรงกับสต๊อคคงเหลือ โปรแกรมจะต้องไม่ลบรายการดังกล่าวและให้ติด Error Code รายการเบิกนั้น ๆ ไว้ |
2 | ควบคุมการผลิต | จอภาพบันทึก/แก้ไขการเบิกวัตถุดิบ กรณีเปลี่ยนวันที่ที่ Header แล้วกด Save ให้ไปแก้ไขวันที่ที่ Detail ด้วย |
3 | ควบคุมการจัดซื้อ | แก้ไขจอภาพหน้าบันทึกใบสั่งซื้อ พบว่า Err. เมื่อทำการเลือกรหัสบัญชี |
4 | ควบคุมสินค้าคงคลัง | จอภาพบันทึกรายการโอนย้ายสินค้า แก้ไขกรณีอ้างถึงใบสั่งขายที่มีรายการสินค้าเดียวกันแต่แยก Item แล้วทำการทยอยโอนที่ละ Item โปรแกรมจะตรวจสอบจำนวนสินค้าตามเอกสารการขายไม่ถูกต้อง |
5 | บัญชีลูกหนี้ | จอภาพบันทึกรายการรับเงิน ปุ่ม Generate รายการรับเงิน แก้ไขการคำนวณยอดภาษีหัก ณ ที่จ่ายไม่ถูกต้อง และการลงฟิลด์ ARRCT.AMOUNT ไม่ถูกต้อง |
6 | บัญชีลูกหนี้ | แก้ไขรายงานภาษีขาย ให้แสดงชื่อ ที่อยู่ เลขที่ประจำตัวผู้เสียภาษี และสาขา ตามรหัสสถานที่ที่บันทึกรายการ |
7 | บัญชีลูกหนี้ | แก้ไขรายงานภาษีขาย(STDAR6024) ให้แสดงชื่อ เลขที่ประจำตัวผู้เสียภาษี และสาขา ตามรหัสสถานที่ที่บันทึกรายการ |
8 | บัญชีเจ้าหนี้ | แก้ไขรายงานหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ทั้งก่อนและหลังผ่านรายการ(STDAP6037,6040) ให้แสดงชื่อ ที่อยู่ เลขที่ประจำตัวผู้เสียภาษี และสาขา ตามรหัสสถานที่ที่บันทึกรายการ |
9 | บัญชีเจ้าหนี้ | แก้ไขรายงานภาษีซื้อเบื้องต้น(STDAP6011,6029), ภาษีซื้อ(STDAP6012,6030), ประวัติภาษีซื้อ(STDAP6019), ประวัติภาษีซื้อ Prorate(STDAP6057) ให้แสดงชื่อ เลขที่ประจำตัวผู้เสียภาษี และสาขา ตามรหัสสถานที่ที่บันทึกรายการ |
10 | เงินสดย่อย | แก้ไขรายงานหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย(STDPC6009) ให้แสดงชื่อ ที่อยู่ เลขที่ประจำตัวผู้เสียภาษี และสาขา ตามรหัสสถานที่ที่บันทึกรายการ |
11 | เงินสดย่อย | แก้ไขจอภาพผ่านรายการอนุมัติเบิกชดเชย เนื่องจากบันทึกยอดฐานภาษี BASPRORATE และ BASUNCLAIM ไม่ถูกต้อง |
12 | เงินทดรองจ่าย | แก้ไขรายงานหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย(STDAV6015) ให้แสดงชื่อ ที่อยู่ เลขที่ประจำตัวผู้เสียภาษี และสาขา ตามรหัสสถานที่ที่บันทึกรายการ |
13 | เงินทดรองจ่าย | แก้ไขจอภาพผ่านรายการเคลียร์เงินทดรอง เนื่องจากบันทึกยอดฐานภาษี BASPRORATE และ BASUNCLAIM ไม่ถูกต้อง |
14 | พื้นฐาน | แก้ไขจอภาพกำหนดรหัสสถานที่ โดยนำฟิลด์ USERDEFC1 มาใช้ในการบันทึกสาขาที่ |
เดิมรายงานวิเคราะห์อายุลูกหนี้จะวิเคราะห์ตามวันที่ครบกำหนดใบวางบิล
ได้ปรับเพิ่มให้สามารถวิเคราะห์ตามวันที่ครบกำหนดของใบแจ้งหนี้ก่อนการวางบิล
สำหรับเงื่อนไขนี้สามารถใช้ได้กับระบบงาน ECONS ที่ติดตั้งให้ DELTRAN = T เท่านั้น
ซึ่งทุกประเภทรายงานจะแสดงวันที่ครบกำหนด และช่วงเวลาของมูลค่าที่เกินกำหนดชำระเงิน
ตามการกำหนดเงื่อนไขวันที่ครบกำหนด ตามใบวางบิล หรือ ตามใบแจ้งหนี้
รายงานใหม่เพิ่มในระบบ PO เป็นรายงานแสดงส่วนต่างราคาซื้อสินค้าราคาตามช่วงเวลาที่กำหนดแยกตามผู้ขาย โดยเปรียบเทียบระหว่างราคาเฉลี่ยในอดีต และราคาเฉลี่ยในปัจจุบัน
การแสดงข้อมูลในรายงาน มีดังนี้
1. แสดงตามรหัสสินค้า และหน่วยสินค้าผู้ขาย
2. จากนั้นแสดงรหัสผู้ขาย ตามลำดับ
3. ราคาเฉลี่ย แสดงราคาเฉลี่ยตามเงื่อนไขวันที่ราคาเฉลี่ย (ตรวจสอบตามวันที่สั่งซื้อ)
4. ราคา(บาท) แสดงราคาเฉลี่ยตามเงื่อนไขวันที่สั่งซื้อ
5. จำนวน แสดงยอดรวมของจำนวนรับสินค้า ตามวันที่สั่งซื้อ
6. มูลค่า(บาท) คือ จำนวน * ราคา(บาท)
7. มูลค่ามาตรฐาน คือ จำนวน * ราคาเฉลี่ย (กรณีมูลค่ามาตรฐานเป็น 0 ให้แสดงยอดตามมูลค่า(บาท))
8. ผลต่าง(บาท) คือ มูลค่ามาตรฐาน – มูลค่า(บาท)
9. ผลต่าง(%) คือ ผลต่าง(บาท) * 100 / มูลค่ามาตรฐาน
รายการ | ระบบงาน | รายละเอียด |
---|---|---|
1 | บัญชีลูกหนี้ | แก้ไขรายงานการรับเงินมัดจำ ประเภทรายงานแบบสรุป เนื่องจากพบว่าบางรายการไม่แสดงรหัสลูกค้าและชื่อลูกค้า |
2 | บัญชีเจ้าหนี้ | แก้ไขรายงานตรวจสอบรายการตั้งเจ้าหนี้แบบสรุป พบว่าแสดงมูลค่าไม่ถูกต้อง |
3 | ควบคุมการจัดซื้อ | แก้ไขรายงานประวัติการจัดซื้อ โดยเพิ่มการแสดงวันที่ใบกำกับภาษี และแก้ไขปัญหาการ Export to Excel แล้วเลขที่ใบสำคัญรับไม่แสดง |
4 | ควบคุมการผลิต | แก้ไขรายงานบัญชีพิเศษ และบัญชีคุมสินค้า(Stock card) เนื่องจากการแสดงผลต้นทุนไม่ถูกต้อง และแก้ไขกำหนดเงื่อนไขตามคลังแล้วรายงานไม่กรองข้อมูลตามคลังที่เลือก |
2. ปรับรายงานให้แสดงชื่อคลังสินค้า และปรับให้แสดงรหัสสินค้าต่อเนื่องโดยไม่ต้องขึ้นหน้าใหม่
เนื่องจาก Excel ตั้งแต่ Version 2013 เป็นต้นไปเปลี่ยนแปลงคำสั่ง Save ข้อมูล ดังนี้
Syntax เดิม
oExcel.save()
Syntax ใหม่
oExcel.activeworkbook.saveas(lcfname,56)
ทำให้มีปัญหากับการใช้งานโปรแกรม ECONS กรณีที่เป็นโปรแกรม Import / Export ร่วมกับ Excel จะไม่สามารถบันทึกข้อมูลลงไฟล์ได้ เช่น โปรแกรม import ใบสั่งขาย , โปรแกรม import ใบเสนอราคา, โปรแกรม import forecast เป็นต้น
แต่สำหรับลูกค้า MA ที่มีจำเป็นต้องใช้โปรแกรม ECONS กับ Excel 2013 หรือ 2016 สามารถแจ้งแก้ไขโปรแกรมมาได้ทาง BBS Helpdesk โดยไม่มีค่าดำเนินการครับ
สำหรับท่านที่พบปัญหาขนาดฐานข้อมูลระบบ ECONS ใหญ่จนเต็มพื้นที่ Hard disk ซึ่งเกิดจากขนาดของ Log file เต็ม สามารถแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วที่สุด โดยการ Run Script นี้ครับ
Code สำหรับ Copy
USE dbECNTEST; GO ALTER DATABASE dbECNTEST SET RECOVERY SIMPLE; GO SELECT file_id, name FROM sys.database_files; GO DBCC SHRINKFILE (2, TRUNCATEONLY);
ลูกค้าส่วนใหญ่ของ BBS มักใช้วิธีการคำนวณค่าเสื่อมแบบเส้นตรง (Straight Line) แต่ระบบ ECONS ยังรองรับวิธีการคำนวณอีกแบบคือ วิธียอดลดลงทวีคูณ (Double Declining)
การคำนวณค่าเสื่อมแบบนี้ ส่วนใหญ่ใช้กับทรัพย์สินประเภทเครื่องจักร เนื่องจากมีหลักคิดดังนี้
1. การใช้งานในปีแรก ๆ จะใช้งานมากกว่าปีหลัง ๆ เนื่องจากเป็นของใหม่ ไม่ค่อยเสีย ไม่ต้องบำรุงรักษามาก และมักจะเร่งคืนทุนโดยเร็ว ปีแรก ๆ จึงควรคิดค่าเสื่อมมากกว่าปีหลัง
2. ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ปีแรก ๆ จะต่ำ มีการรับประกัน แล้วค่อย ๆ สูงขึ้นในปีท้าย ๆ ซึ่งหากมองในแง่ของต้นทุนของบริษัทแล้ว การใช้ Double Decline จะมีต้นทุนทุกปีใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกว่า
ตัวอย่างเช่น สมมติว่ามีการรับประกัน 1 ปี โดยมีค่าซ่อมบำรุง และการคิดค่าเสื่อมดังตาราง
จากตารางสามารถแสดงในรูปของกราฟข้อมูลค่าโสหุ้ยรวม (ค่าซ่อม+ค่าเสื่อมราคา) ได้ดังนี้
จากกราฟจะเห็นว่า :
กรณี Double Decline โสหุ้ยรวมแต่ละปีจะเท่ากัน โดยปีแรก ค่าซ่อมบำรุงไม่มี แต่ค่าเสื่อมราคาสูง ส่วนปีต่อมา ค่าเสื่อมราคาลดลง แต่ก็มีค่าซ่อมบำรุงที่เพิ่มขึ้นชดเชยกัน เมื่อคิดในแง่ต้นทุนแล้ว ต้นทุนต่อหน่วยในการผลิตทุกปีจะเท่า ๆ กัน
แต่ถ้าใช้ แบบเส้นตรง ปีแรกจะมีต้นทุนต่อหน่วยถูกที่สุด และต้นทุนต่อหน่วยจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จนสูงสุดในปีสุดท้าย
นอกจากนี้ ในทางปฏิบัติจริง ๆ แล้ว ปีแรกชั่วโมงที่ใช้ในการผลิตน่าจะมีมากกว่า เพราะเครื่องไม่ต้องซ่อมบำรุง ส่วนปีท้าย ๆ เครื่องจักรเก่า มีการซ่อมบำรุงสูง ศักยภาพเครื่องเก่าสู้เครื่องใหม่ ๆ ไม่ได้ เครื่องจักรเก่าก็จะถูกใช้ในการผลิตน้อยลงไปอีก ยิ่งทำให้ต้นทุนต่อหน่วยในปีท้าย ๆ ยิ่งสูงขึ้นไปอีก ทำให้การจัดการต้นทุนยุ่งยากมากขึ้นไปด้วย
ตัวอย่างวิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคา Double Decline มีสูตรดังนี้
อัตราค่าเสื่อมราคา หาได้จาก 1หารด้วยจำนวนปีแล้วนำมาคูณ 2
ค่าเสื่อมราคา หาได้จาก ราคาทรัพย์สิน *อัตราค่าเสื่อม หาร จำนวนวันทั้งปี แล้วคูณ จำนวนวันที่คิดค่าเสื่อมราคา
มูลค่าซาก หาได้จาก ราคาทรัพย์สินสุทธิ ณ สิ้นปีสุดท้ายที่คิดค่าเสื่อมราคา
ดังตัวอย่างเช่น
http://econs.co.th/bbs/files/FA_double_Declining_Concept.xls
ตัวอย่างการกำหนดข้อมูลหลัก และการใช้งานดังนี้
ความเห็นล่าสุด